ปุ๋ยมูลค้างคาว ตราเขาเพชร
ข้อดีของปุ๋ยมูลค้างคาว
1
มีปริมาณความเข้มข้นของธาตุอาหารพืชสูงกว่าปุ๋ยอินทรีย์ชนิดอื่น
2
ปุ๋ยมูลค้างคาวนอกจากจะให้ธาตุอาหารที่เพียงพอแล้ว ยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินด้วยทำให้ดินร่วน ดินซุย
3
ในมูลค้างคาวอุดมไปด้วย ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม เช่น แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม
กำมะถัน เหล็กแมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมลิบดินัม คลอลีน ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของพืชโดยทั่วไป
4
ในมูลค้างคาวมีธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเป็นพิเศษ จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ทั้งใน พืชผัก
พืชสวน พืชไร่ และไม้ดอก ไม้ประดับ จ ช่วยเพิ่มในเรื่องของ สีสัน รสชาติ
และเพิ่มผลผลิตได้อย่างดี
ส่วนประกอบสำคัญในการผลิตปุ๋ย
1
วัตถุดิบมูลค้างคาว มูลค้างคาวจำนวนมหาศาลที่บริษัทฯได้รับสัมปทานถ้ำค้างคาวนั้น
สามารถนำมาผลิตปุ๋ยที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการ
ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของมูลค้างคาวเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีประโยชน์ต่อพืชมากมาย อุดมไปด้วยธาตุอาหารครบตามที่พืชต้องการ
และพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์
2
สารอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก
ซึ่งทางบริษัทฯได้นำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตปุ๋ยด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณ เพราะสารอาหารดังกล่าวมีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม รวมทั้งฮิวมัส ฮิวมิค อะมิโน สารอาหารชนิดนี้เป็นเคมีธรรมชาติ ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตอาหารของประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลไม่ได้ตีค่าเป็นเคมี แต่ด้วยคุณค่านั้นเหนือกว่าเคมีนำเข้าโดยทั่วไป การปลดปล่อยต่างกัน
ให้คุณค่าที่สูงกว่า พืชจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
3
จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษนำเข้าจากประเทศอิสราเอล เป็นอีกส่วนผสมหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ยของทางบริษัทฯ
จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้ มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ สามารถทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่า
โคนเน่า ในพืชทุกชนิด ช่วยพัฒนาระบบราก ปรับสภาพดินที่เสียให้ร่วนซุย ปรับค่า PH ของดินให้เหมาะสม
รายละเอียด: ปุ๋ยมูลค้างคาว ตรา เขาเพชร สูตร 6-3-3
คุณสมบัติ
-มูลค้างคาวที่สะสมกันในถ้ำเป็นเวลานานจนสลายตัวกลายเป็นปุ๋ย ให้ธาตุทั้งในโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ทำให้มีปริมาณความแข็มข้นของธาตุอาหารพืชสูงทัดเทียมกับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์
-ผลของการใช้ปุ๋ยมูลค้างคาว ทำให้ดินร่วนไม่เกาะกันแน่น เมื่อแข็งตัว ความเป็นกรด-ด่างของดินอยู่ในระดับที่พอเหมาะกับความเจริญเติบโตของพืช
-การใช้มูลค้างคาว ทำให้เชื้อแบคทีเรียในดินทำการย่อยสลายอินทรีย์สารเปลี่ยนเป็นธาตุอาหารพืชได้ง่ายขึ้น
-มูลค้างคาวให้ธาตุอาหารเสริมของพืช ได้แก่ แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมลิบดินัม
อย่างพอเพียงกับความต้องการของพืช
-การใช้ปุ๋ยมูลค้างคาวอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันจะทำให้ผลตกค้างของปุ๋ย เคมีในดินค่อยๆสลายเป็นอาหารพืช และดินกลับสมบูรณ์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
-ในมูลค้างคาวมีธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเป็นพิเศษ จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ทั้งใน พืชผัก พืชสวน พืชไร่ และไม้ดอก ไม้ประดับ
จะช่วยเพิ่มในเรื่องของ สีสัน รสชาติ และเพิ่มผลผลิตได้อย่างดี
ผลการเปรียบเทียบมูลสัตว์ต่างๆกับมูลค้างคาว
มูลค้างคาวมีไนโตรเจน (N) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆประมาณ 20 เท่า
มูลค้างคาวมีฟอสฟอรัส (P) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 130 เท่า
มูลค้างคาวมีโพเทสเซียม (K) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 4 เท่า
ส่วนประกอบสำคัญในการผลิตปุ๋ย
1
วัตถุดิบมูลค้างคาว มูลค้างคาวจำนวนมหาศาลที่บริษัทฯได้รับสัมปทานถ้ำค้างคาวนั้น สามารถนำมาผลิตปุ๋ยที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของมูลค้างคาวเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีประโยชน์ต่อพืชมากมาย
อุดมไปด้วยธาตุอาหารครบตามที่พืชต้องการ และพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์
2
สารอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก
ซึ่งทางบริษัทฯได้นำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตปุ๋ยด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณ
เพราะสารอาหารดังกล่าวมีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม รวมทั้งฮิวมัส ฮิวมิค อะมิโน สารอาหารชนิดนี้เป็นเคมีธรรมชาติ ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตอาหารของประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลไม่ได้ตีค่าเป็นเคมี แต่ด้วยคุณค่านั้นเหนือกว่าเคมีนำเข้าโดยทั่วไป การปลดปล่อยต่างกัน ให้คุณค่าที่สูงกว่า พืชจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
3
จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษนำเข้าจากประเทศอิสราเอล ผสมหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ยของทางบริษัทฯ
จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้ มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ สามารถทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่า โคนเน่า ในพืชทุกชนิด
ช่วยพัฒนาระบบราก ปรับสภาพดินที่เสียให้ร่วนซุย ปรับค่า PH ของดินให้เหมาะสม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในไม้ผล
เช่น ส้ม ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง ทุเรียน เงาะ เป็นต้น
*ระยะยังไม่มีผล ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 2 – 3 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยให้ต้นสมบูรณ์ โตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน
*ระยะมีผลแล้ว ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 3 – 4 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของต้น ทำให้ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ติดดอกดก ติดผลดก ผลใหญ่ รสชาติดี น้ำหนักดี สีสวยสีเข้ม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในยางพารา
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด
( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 0.5 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ช่วงปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 0.5 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง
ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
*ในยางเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง
ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
1
มีปริมาณความเข้มข้นของธาตุอาหารพืชสูงกว่าปุ๋ยอินทรีย์ชนิดอื่น
2
ปุ๋ยมูลค้างคาวนอกจากจะให้ธาตุอาหารที่เพียงพอแล้ว ยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินด้วยทำให้ดินร่วน ดินซุย
3
ในมูลค้างคาวอุดมไปด้วย ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม เช่น แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม
กำมะถัน เหล็กแมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมลิบดินัม คลอลีน ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของพืชโดยทั่วไป
4
ในมูลค้างคาวมีธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเป็นพิเศษ จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ทั้งใน พืชผัก
พืชสวน พืชไร่ และไม้ดอก ไม้ประดับ จ ช่วยเพิ่มในเรื่องของ สีสัน รสชาติ
และเพิ่มผลผลิตได้อย่างดี
ส่วนประกอบสำคัญในการผลิตปุ๋ย
1
วัตถุดิบมูลค้างคาว มูลค้างคาวจำนวนมหาศาลที่บริษัทฯได้รับสัมปทานถ้ำค้างคาวนั้น
สามารถนำมาผลิตปุ๋ยที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการ
ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของมูลค้างคาวเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีประโยชน์ต่อพืชมากมาย อุดมไปด้วยธาตุอาหารครบตามที่พืชต้องการ
และพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์
2
สารอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก
ซึ่งทางบริษัทฯได้นำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตปุ๋ยด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณ เพราะสารอาหารดังกล่าวมีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม รวมทั้งฮิวมัส ฮิวมิค อะมิโน สารอาหารชนิดนี้เป็นเคมีธรรมชาติ ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตอาหารของประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลไม่ได้ตีค่าเป็นเคมี แต่ด้วยคุณค่านั้นเหนือกว่าเคมีนำเข้าโดยทั่วไป การปลดปล่อยต่างกัน
ให้คุณค่าที่สูงกว่า พืชจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
3
จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษนำเข้าจากประเทศอิสราเอล เป็นอีกส่วนผสมหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ยของทางบริษัทฯ
จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้ มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ สามารถทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่า
โคนเน่า ในพืชทุกชนิด ช่วยพัฒนาระบบราก ปรับสภาพดินที่เสียให้ร่วนซุย ปรับค่า PH ของดินให้เหมาะสม
รายละเอียด: ปุ๋ยมูลค้างคาว ตรา เขาเพชร สูตร 6-3-3
คุณสมบัติ
-มูลค้างคาวที่สะสมกันในถ้ำเป็นเวลานานจนสลายตัวกลายเป็นปุ๋ย ให้ธาตุทั้งในโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ทำให้มีปริมาณความแข็มข้นของธาตุอาหารพืชสูงทัดเทียมกับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์
-ผลของการใช้ปุ๋ยมูลค้างคาว ทำให้ดินร่วนไม่เกาะกันแน่น เมื่อแข็งตัว ความเป็นกรด-ด่างของดินอยู่ในระดับที่พอเหมาะกับความเจริญเติบโตของพืช
-การใช้มูลค้างคาว ทำให้เชื้อแบคทีเรียในดินทำการย่อยสลายอินทรีย์สารเปลี่ยนเป็นธาตุอาหารพืชได้ง่ายขึ้น
-มูลค้างคาวให้ธาตุอาหารเสริมของพืช ได้แก่ แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมลิบดินัม
อย่างพอเพียงกับความต้องการของพืช
-การใช้ปุ๋ยมูลค้างคาวอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันจะทำให้ผลตกค้างของปุ๋ย เคมีในดินค่อยๆสลายเป็นอาหารพืช และดินกลับสมบูรณ์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
-ในมูลค้างคาวมีธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเป็นพิเศษ จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ทั้งใน พืชผัก พืชสวน พืชไร่ และไม้ดอก ไม้ประดับ
จะช่วยเพิ่มในเรื่องของ สีสัน รสชาติ และเพิ่มผลผลิตได้อย่างดี
ผลการเปรียบเทียบมูลสัตว์ต่างๆกับมูลค้างคาว
มูลค้างคาวมีไนโตรเจน (N) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆประมาณ 20 เท่า
มูลค้างคาวมีฟอสฟอรัส (P) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 130 เท่า
มูลค้างคาวมีโพเทสเซียม (K) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 4 เท่า
ส่วนประกอบสำคัญในการผลิตปุ๋ย
1
วัตถุดิบมูลค้างคาว มูลค้างคาวจำนวนมหาศาลที่บริษัทฯได้รับสัมปทานถ้ำค้างคาวนั้น สามารถนำมาผลิตปุ๋ยที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของมูลค้างคาวเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีประโยชน์ต่อพืชมากมาย
อุดมไปด้วยธาตุอาหารครบตามที่พืชต้องการ และพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์
2
สารอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก
ซึ่งทางบริษัทฯได้นำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตปุ๋ยด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณ
เพราะสารอาหารดังกล่าวมีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม รวมทั้งฮิวมัส ฮิวมิค อะมิโน สารอาหารชนิดนี้เป็นเคมีธรรมชาติ ที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตอาหารของประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลไม่ได้ตีค่าเป็นเคมี แต่ด้วยคุณค่านั้นเหนือกว่าเคมีนำเข้าโดยทั่วไป การปลดปล่อยต่างกัน ให้คุณค่าที่สูงกว่า พืชจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
3
จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษนำเข้าจากประเทศอิสราเอล ผสมหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ยของทางบริษัทฯ
จุลินทรีย์สายพันธุ์นี้ มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ สามารถทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่า โคนเน่า ในพืชทุกชนิด
ช่วยพัฒนาระบบราก ปรับสภาพดินที่เสียให้ร่วนซุย ปรับค่า PH ของดินให้เหมาะสม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในไม้ผล
เช่น ส้ม ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง ทุเรียน เงาะ เป็นต้น
*ระยะยังไม่มีผล ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 2 – 3 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยให้ต้นสมบูรณ์ โตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน
*ระยะมีผลแล้ว ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 3 – 4 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของต้น ทำให้ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ติดดอกดก ติดผลดก ผลใหญ่ รสชาติดี น้ำหนักดี สีสวยสีเข้ม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในยางพารา
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด
( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 0.5 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ช่วงปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 0.5 กก. /ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง
ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
*ในยางเปิดกรีด ( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง
ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
ไฮไลฟ์โกร เอส/แอล
ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ " ไฮไลฟ์โกร (Hylifegro) "
ไฮไลฟ์โกรเอส (Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L)
1.
เพื่อฟื้นสภาพต้นให้สมบูรณ์
พืชไม่่โทรมง่ายเช่น หลังจากมีเพลี้ย,หนอนหรือโรคระบาดเข้าทำลาย
2.
เพื่อทดแทนสารอาหาร ขณะที่พืชวิกฤติหาได้ไม่เพียงพอจากธรรมชาติ
3.
เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับทุกส่วนของต้นพืช เช่น ส่วนราก ยอด
ดอกและผล
4.
เพื่อให้ต้นพืชปรับสภาพทนทานและต้านทานต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว
5.
เพื่อช่วยสร้างผนังเซลล์พืชให้แข็งแรง สามารถช่วยต้านทานต่อโรคและแมลง" ไฮไลฟ์โกร (Hylifegro) " ไฮไลฟ์โกรเอส
(Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L) ตามช่วงระยะการเจริญเติบโตทั่วไป
1.
เพื่อเสริมสร้างระบบราก ช่วยสร้างรากฝอยให้ดูดอาหารได้ดีขึ้น
2.
เพื่อเร่งการงอกของเมล็ด โดยการแช่หรือราดเมล็ด
3.
เพื่อช่วยสะสมอาหาร เพื่อเตรียมการออกดอก
4.
เพื่อช่วยเร่งการเปิดตาดอกและช่วยผสมเกสร
5.
เพื่อเร่งและบำรุงผล ช่วงเริ่มติดผลอ่อนให้ติดดก ลดผลร่วง
6.
เพื่อเร่งคุณภาพของผลผลิต ขยายผลใหญ่ สร้างแป้ง สร้างเนื้อ สีเข้ม รสชาติดี และช่วยเพิ่มน้ำหนัก
7.
เพื่อเป็นสารตั้งต้นทุกครั้ง เมื่อมีการฉีดพ่นสารเคมีเกษตรระยะต่าง ๆ
อัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ " ไฮไลฟ์โกร (Hylifegro) "
ไฮไลฟ์โกรเอส (Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L)
1. ขนาดบรรจุ 1,000 มิลลิลิตร./ขวด
2. ขนาดถังพ่นยา 20 ลิตร ตวงใช้ 20 - 30 มิลลิลิตร
3. ขนาดถังพ่นยา 200 ลิตร ตวงใช้ 200 - 300 มิลลิลิตร (หรือ 1,000 มิลลิลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ลิตร)
4. สามารถใช้ผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้ทุกชนิด
ไฮไลฟ์โกรเอส (Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L)
1.
เพื่อฟื้นสภาพต้นให้สมบูรณ์
พืชไม่่โทรมง่ายเช่น หลังจากมีเพลี้ย,หนอนหรือโรคระบาดเข้าทำลาย
2.
เพื่อทดแทนสารอาหาร ขณะที่พืชวิกฤติหาได้ไม่เพียงพอจากธรรมชาติ
3.
เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับทุกส่วนของต้นพืช เช่น ส่วนราก ยอด
ดอกและผล
4.
เพื่อให้ต้นพืชปรับสภาพทนทานและต้านทานต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว
5.
เพื่อช่วยสร้างผนังเซลล์พืชให้แข็งแรง สามารถช่วยต้านทานต่อโรคและแมลง" ไฮไลฟ์โกร (Hylifegro) " ไฮไลฟ์โกรเอส
(Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L) ตามช่วงระยะการเจริญเติบโตทั่วไป
1.
เพื่อเสริมสร้างระบบราก ช่วยสร้างรากฝอยให้ดูดอาหารได้ดีขึ้น
2.
เพื่อเร่งการงอกของเมล็ด โดยการแช่หรือราดเมล็ด
3.
เพื่อช่วยสะสมอาหาร เพื่อเตรียมการออกดอก
4.
เพื่อช่วยเร่งการเปิดตาดอกและช่วยผสมเกสร
5.
เพื่อเร่งและบำรุงผล ช่วงเริ่มติดผลอ่อนให้ติดดก ลดผลร่วง
6.
เพื่อเร่งคุณภาพของผลผลิต ขยายผลใหญ่ สร้างแป้ง สร้างเนื้อ สีเข้ม รสชาติดี และช่วยเพิ่มน้ำหนัก
7.
เพื่อเป็นสารตั้งต้นทุกครั้ง เมื่อมีการฉีดพ่นสารเคมีเกษตรระยะต่าง ๆ
อัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ " ไฮไลฟ์โกร (Hylifegro) "
ไฮไลฟ์โกรเอส (Hylifegro-S) และ ไฮไลฟ์โกรแอล (Hylifegro-L)
1. ขนาดบรรจุ 1,000 มิลลิลิตร./ขวด
2. ขนาดถังพ่นยา 20 ลิตร ตวงใช้ 20 - 30 มิลลิลิตร
3. ขนาดถังพ่นยา 200 ลิตร ตวงใช้ 200 - 300 มิลลิลิตร (หรือ 1,000 มิลลิลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ลิตร)
4. สามารถใช้ผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้ทุกชนิด
ไฮไลฟ์โกร S/L นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของไฮไลฟ์โกร
มีประสิทธิภาพดังนี้
-ช่วยในการปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น เหมาะสมกับการเพาะปลูกมากขึ้น
-คืนระบบนิเวศที่ดีให้แก่จุลินทรีย์ในดิน
-ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากพืช รากพืชสามารถดึงดูดซับธาตุสารอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-ทำให้พืชสามารถดำเนินกิจกรรมในต้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม พืชสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
ไม่ว่าจะร้อนจัด หนาวจัด ฝนแล้งกรือฝนชุก โดยไม่ส่งผลกระทบแม้ใช้อย่างต่อเนื่อง
-สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงจากการใช้สารจำกัดศัตรูพืชเช่นยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ทำให้พืชประธานไม่เหลืองไม่ชะงักงัน
-ไฮไลฟ์โกร ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารตกค้างในดิน
คุณสมบัติ ไฮโกรไลฟ์เอส ไฮโกรไลฟ์แอล
1.
ไม่ใช่สารชีวภาพประเภทจุลินทรีย์หมักหรือสกัดได้จากส่วนของกระดองปูหรือเปลือกกุ้งแต่อย่างใด
2.
เป็นเนื้อสารเข้มข้นมีสารอาหารพืชต่างๆครบถ้วนตามที่พืชต้องการรวมอยู่เป็นเนื้อสารเดียวกัน
3.
ช่วยลดต้นทุนการใช้สารอื่นๆมาใช้ผสมร่วมเกินความจำเป็น
4.
ดูดซึมได้รวดเร็ว พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
5.
สามารถผสมฉีดพ่นร่วมกับสารป้องกันกำจัดแมลงและสารกำจัดโรคได้ทุกประเภทโดยไม่เสื่อมฤทธิ์
6.
ไม่จับตัวตกตะกอนแข็งและไม่จับก้อนเป็นวุ้นเมื่อผสมร่วมกับสารอื่นๆ
7.
มีคุณประโยชน์ข้อดีกับต้นพืชมากกว่าเกิดโทษ
8.
ใช้ได้กับทุกช่วงระยะการเจริญเติบโตของต้นพืช
ประโยชน์ "ไฮโกรS-L"
- ใช้เพื่อฟื้นสภาพต้นให้สมบูรณ์ พืชไม่่โทรมง่ายเช่น หลังจากมีเพลี้ย,หนอนหรือโรคระบาดเข้าทำลาย
- ใช้เพื่อทดแทนสารอาหาร ขณะที่พืชวิกฤติหาได้ไม่เพียงพอจากธรรมชาติ
- ใช้เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับทุกส่วนของต้นพืช เช่น ส่วนราก ยอด ดอกและผล
- ใช้เพื่อให้ต้นพืชปรับสภาพทนทานและต้านทานต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว
- ช่วยสร้างผนังเซลล์พืชให้แข็งแรง สามารถช่วยต้านทานต่อโรคและแมลง
ไฮไลฟ์โกร แอล
เป็นสารอาหาร และแร่ธาตุชนิดเข้มข้นที่จำเป็น ช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่พืช สำหรับช่วงระยะเริ่มติดดอก ออกผล
ลงหัว หรือโตสมบูรณ์ที่ ช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตให้ได้ปริมาณสูงสุด
-เปิดตาดอก ช่วยผสมเกสร
-ส่งเสริมการสร้างและสะสมอาหารภายในต้นพืช
-เพิ่มปริมาณแป้งในพืชหัวได้มากขึ้น
-ทำให้พืชหัวมีขนาใหญ่ แข็งแรง เนื้อแน่น ใส้ไม่กลวง
-ลดการร่วงหล่น ขั้วเหนียว
-ทำให้พืชดูดซับธาตุอาหารต่างๆ ในดินได้อย่างเต็มที่
-ช่วยขยายขนาด และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น
วิธีใช้ ชนิดพืช ระยะเวลา อัตราการใช้
ข้าว
ช่วงตั้งท้องและออกรวง จนกระทั่งช่วงข้าวเป็นน้ำนมฉีดพ่นทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชไร่
ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชผัก
ทุก7-14วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชดอก ไม้ประดับ
ทุก7-14วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ไม้ผล และไม้ยืนต้น
เริ่มฉีดได้ตั้งแต่ก่อนดึงดอกและฉีดได้ต่อเนื่องจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผล ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ยางพารา ปาล์มน้ำมัน
ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ข้อแนะนำพิเศษ วัตถุประสงค์ ข้อแนะนำ อัตราการใช้
ช่วยเพิ่มการสะสมอาหารไว้ที่ใบ และลำต้น ช่วยให้พืชออกดอกได้เร็วขึ้น ฉีดพ่นทุกๆ 7-14
วันให้ทั่วทั้งต้นพืชสามารถดูดซึมเข้าภายในลำต้นได้ทุกส่วนทั้งงทาง ต้น ใบ ราก 30-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ช่วยขยายขนาดผล
สร้างเนื้อเยื่อ สร้างแป้ง ขั้วเหนียว ผลไม่ร่วง สีผลสด ผลติดดก รสชาติดี มีน้ำหนัก ทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ช่วยลงหัวได้เร็ว
หัวใหญ่ ได้น้ำหนัก สีผิวเข้ม เก็บได้นาน หัวไม่ฝ่อง่าย ทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
มีประสิทธิภาพดังนี้
-ช่วยในการปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น เหมาะสมกับการเพาะปลูกมากขึ้น
-คืนระบบนิเวศที่ดีให้แก่จุลินทรีย์ในดิน
-ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากพืช รากพืชสามารถดึงดูดซับธาตุสารอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-ทำให้พืชสามารถดำเนินกิจกรรมในต้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม พืชสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
ไม่ว่าจะร้อนจัด หนาวจัด ฝนแล้งกรือฝนชุก โดยไม่ส่งผลกระทบแม้ใช้อย่างต่อเนื่อง
-สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงจากการใช้สารจำกัดศัตรูพืชเช่นยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ทำให้พืชประธานไม่เหลืองไม่ชะงักงัน
-ไฮไลฟ์โกร ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารตกค้างในดิน
คุณสมบัติ ไฮโกรไลฟ์เอส ไฮโกรไลฟ์แอล
1.
ไม่ใช่สารชีวภาพประเภทจุลินทรีย์หมักหรือสกัดได้จากส่วนของกระดองปูหรือเปลือกกุ้งแต่อย่างใด
2.
เป็นเนื้อสารเข้มข้นมีสารอาหารพืชต่างๆครบถ้วนตามที่พืชต้องการรวมอยู่เป็นเนื้อสารเดียวกัน
3.
ช่วยลดต้นทุนการใช้สารอื่นๆมาใช้ผสมร่วมเกินความจำเป็น
4.
ดูดซึมได้รวดเร็ว พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
5.
สามารถผสมฉีดพ่นร่วมกับสารป้องกันกำจัดแมลงและสารกำจัดโรคได้ทุกประเภทโดยไม่เสื่อมฤทธิ์
6.
ไม่จับตัวตกตะกอนแข็งและไม่จับก้อนเป็นวุ้นเมื่อผสมร่วมกับสารอื่นๆ
7.
มีคุณประโยชน์ข้อดีกับต้นพืชมากกว่าเกิดโทษ
8.
ใช้ได้กับทุกช่วงระยะการเจริญเติบโตของต้นพืช
ประโยชน์ "ไฮโกรS-L"
- ใช้เพื่อฟื้นสภาพต้นให้สมบูรณ์ พืชไม่่โทรมง่ายเช่น หลังจากมีเพลี้ย,หนอนหรือโรคระบาดเข้าทำลาย
- ใช้เพื่อทดแทนสารอาหาร ขณะที่พืชวิกฤติหาได้ไม่เพียงพอจากธรรมชาติ
- ใช้เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับทุกส่วนของต้นพืช เช่น ส่วนราก ยอด ดอกและผล
- ใช้เพื่อให้ต้นพืชปรับสภาพทนทานและต้านทานต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว
- ช่วยสร้างผนังเซลล์พืชให้แข็งแรง สามารถช่วยต้านทานต่อโรคและแมลง
ไฮไลฟ์โกร แอล
เป็นสารอาหาร และแร่ธาตุชนิดเข้มข้นที่จำเป็น ช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่พืช สำหรับช่วงระยะเริ่มติดดอก ออกผล
ลงหัว หรือโตสมบูรณ์ที่ ช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตให้ได้ปริมาณสูงสุด
-เปิดตาดอก ช่วยผสมเกสร
-ส่งเสริมการสร้างและสะสมอาหารภายในต้นพืช
-เพิ่มปริมาณแป้งในพืชหัวได้มากขึ้น
-ทำให้พืชหัวมีขนาใหญ่ แข็งแรง เนื้อแน่น ใส้ไม่กลวง
-ลดการร่วงหล่น ขั้วเหนียว
-ทำให้พืชดูดซับธาตุอาหารต่างๆ ในดินได้อย่างเต็มที่
-ช่วยขยายขนาด และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น
วิธีใช้ ชนิดพืช ระยะเวลา อัตราการใช้
ข้าว
ช่วงตั้งท้องและออกรวง จนกระทั่งช่วงข้าวเป็นน้ำนมฉีดพ่นทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชไร่
ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชผัก
ทุก7-14วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พืชดอก ไม้ประดับ
ทุก7-14วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ไม้ผล และไม้ยืนต้น
เริ่มฉีดได้ตั้งแต่ก่อนดึงดอกและฉีดได้ต่อเนื่องจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผล ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ยางพารา ปาล์มน้ำมัน
ทุก15-30วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ข้อแนะนำพิเศษ วัตถุประสงค์ ข้อแนะนำ อัตราการใช้
ช่วยเพิ่มการสะสมอาหารไว้ที่ใบ และลำต้น ช่วยให้พืชออกดอกได้เร็วขึ้น ฉีดพ่นทุกๆ 7-14
วันให้ทั่วทั้งต้นพืชสามารถดูดซึมเข้าภายในลำต้นได้ทุกส่วนทั้งงทาง ต้น ใบ ราก 30-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ช่วยขยายขนาดผล
สร้างเนื้อเยื่อ สร้างแป้ง ขั้วเหนียว ผลไม่ร่วง สีผลสด ผลติดดก รสชาติดี มีน้ำหนัก ทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ช่วยลงหัวได้เร็ว
หัวใหญ่ ได้น้ำหนัก สีผิวเข้ม เก็บได้นาน หัวไม่ฝ่อง่าย ทุก 7-14 วัน 20-30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
X-TRAเป็นแบบปุ๋ยน้ำที่มันใช้กับต้นไม้ทุกชนิดที่โตแข็งแรงพร้อมจะกินปุ๋ยแล้ว และเริ่มใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ ฤดูกาลแรกที่ใช้ให้ใช้ควบคู่กับปุ๋ยเม็ดเคมีก่อนแต่ลดปริมาณปุ๋ยเม็ดลงเหลือครึ่งเดียวได้
คือค่อยๆลดค่ะ หรือจะใส่สัก30%ก็ได้ ควบคู่ไปกับใช้เอ็กตร้าตัวนี้
วิธีการทำงานของไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
คือ ใช้กับพืชปุ๊บ พืชกินได้ปั๊บ กินอิ่ม สะสมไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย
พอหิวต้องการอาหารก็เอาที่สะสมไว้มากินต่อ อิ่มก็หยุดกิน
หิวก็เอาที่สะสมไว้มากิน จึงทำให้การใช้เอ็กตร้า พืชสามารถทำกิจกรรมเติบโตสร้างดอกผลได้โดยไม่หยุดชะงักงันแม้อยู่ในสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในการเจริญเติบโตเลยก็ตาม
ข้อสำคัญ
ไฮไลฟ์โกร เอส (สำหรับเริ่มปลุกสร้างใบ สร้างความเขียวของใบ)
ไฮไลฟ์โกร แอล (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย เพื่อสะสมอาหารให้เค้า)
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย และ โดยเฉพาะพืชใหญ่ พืชผักกินใบไม่ต้องก็ได้ประหยัดไป
ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ให้พืชได้รับแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืชครบถ้วน13ชนิด อีก3ได้จากอากาศ อีก4เป็นแค่ตัวเสริม)
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี(มูลค้างคาว) ก็เสริมธาตุอาหารให้พืช ทุกตัวทำให้ดีดินไม่เสีย ครบวงจร
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
เป็นสารอาหารอินทรีย์ธรรมชาติสูตรพิเศษ หัวเชื้อสกัดเข้มข้นพร้อมใช้งานเพราะสารอาหารมีขนาดเล็ก
จนเข้าสู่ทุกส่วนของต้นพืชได้ทันที ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด HYBON เทคโนโลยี ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
พืชเจริญเติบโตเร็ว เพราะสร้างพลังงานได้เร็วและผลิตออกมาได้มากเป็นพิเศษ มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน
และใช้ได้กับพืชทุกชนิดทุกฤดูกาลใช้ได้มากกว่า 30 ไร่และฉีดร่วมกับสารอื่นได้
**ไม่ควรใช้กับพืชที่เพิ่งงอกและพืชที่ใบเหลืองกำลังจะตาย***
อัตราและวิธีการใช้ชนิดพืชอัตราการใช้ระยะเวลาการฉีด
พืชไร่ นาขาว10-20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร15 วันต่อครั้ง
พืชผัก7 วันต่อครั้ง
ไม้ดอก ไม้ประดับ7-14 วันต่อครั้ง
ไม้ผล ยางพารา ปาล์ม น้ำมัน30 วันต่อครั้ง
X-TRAเป็นแบบปุ๋ยน้ำที่มันใช้กับต้นไม้ทุกชนิดที่โตแข็งแรงพร้อมจะกินปุ๋ยแล้ว และเริ่มใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ ฤดูกาลแรกที่ใช้ให้ใช้ควบคู่กับปุ๋ยเม็ดเคมีก่อนแต่ลดปริมาณปุ๋ยเม็ดลงเหลือครึ่งเดียวได้
คือค่อยๆลดค่ะ หรือจะใส่สัก30%ก็ได้ ควบคู่ไปกับใช้เอ็กตร้าตัวนี้
วิธีการทำงานของไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
คือ ใช้กับพืชปุ๊บ พืชกินได้ปั๊บ กินอิ่ม สะสมไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย
พอหิวต้องการอาหารก็เอาที่สะสมไว้มากินต่อ อิ่มก็หยุดกิน
หิวก็เอาที่สะสมไว้มากิน จึงทำให้การใช้เอ็กตร้า พืชสามารถทำกิจกรรมเติบโตสร้างดอกผลได้โดยไม่หยุดชะงักงันแม้อยู่ในสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในการเจริญเติบโตเลยก็ตาม
ข้อสำคัญ
ไฮไลฟ์โกร เอส (สำหรับเริ่มปลุกสร้างใบ สร้างความเขียวของใบ)
ไฮไลฟ์โกร แอล (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย เพื่อสะสมอาหารให้เค้า)
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย และ โดยเฉพาะพืชใหญ่ พืชผักกินใบไม่ต้องก็ได้ประหยัดไป
ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ให้พืชได้รับแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืชครบถ้วน13ชนิด อีก3ได้จากอากาศ อีก4เป็นแค่ตัวเสริม)
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี(มูลค้างคาว) ก็เสริมธาตุอาหารให้พืช ทุกตัวทำให้ดีดินไม่เสีย ครบวงจร
ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า
เป็นสารอาหารอินทรีย์ธรรมชาติสูตรพิเศษ หัวเชื้อสกัดเข้มข้นพร้อมใช้งานเพราะสารอาหารมีขนาดเล็ก
จนเข้าสู่ทุกส่วนของต้นพืชได้ทันที ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด HYBON เทคโนโลยี ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
พืชเจริญเติบโตเร็ว เพราะสร้างพลังงานได้เร็วและผลิตออกมาได้มากเป็นพิเศษ มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน
และใช้ได้กับพืชทุกชนิดทุกฤดูกาลใช้ได้มากกว่า 30 ไร่และฉีดร่วมกับสารอื่นได้
**ไม่ควรใช้กับพืชที่เพิ่งงอกและพืชที่ใบเหลืองกำลังจะตาย***
อัตราและวิธีการใช้ชนิดพืชอัตราการใช้ระยะเวลาการฉีด
พืชไร่ นาขาว10-20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร15 วันต่อครั้ง
พืชผัก7 วันต่อครั้ง
ไม้ดอก ไม้ประดับ7-14 วันต่อครั้ง
ไม้ผล ยางพารา ปาล์ม น้ำมัน30 วันต่อครั้ง
(ส่วนประกอบสำคัญในปุ๋ยเขาเพชร)
(ผลลัพท์ที่ใช้ได้จริงกลับเกษตกรที่ใช้)